แรงจูงใจ…พลังที่ขับเคลื่อนทุกสิ่ง

จากความฝันสู่ความเป็นจริง

เราทุกคนคงมีความฝัน เป้าหมาย สิ่งที่ตนเองอยากได้หรืออยากมี ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน แต่ความต้องการเหล่านี้เองที่เป็นจุดตั้งต้นให้เราตั้งใจทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่เราวาดฝันไว้

แรงจูงใจเป็นแรงผลักดัน หรือตัวกระตุ้น ให้เราทำหรือไม่ทำอะไรเพื่อให้บรรลุความฝันของตัวเอง เช่น

– หากเราต้องการรวย แรงจูงใจในการอยากรวยก็จะทำให้เราขยันทำงาน ศึกษาเรื่องราวการทำธุรกิจ หรือการลงทุนเพื่อให้แรงงาน/เงินออมของเราสามารถออกดอกออกผลและต่อยอดให้เรา มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย

– เมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจเคยอยากวาดรูปเก่ง ซึ่งก็เป็นแรงผลักดันให้หลายๆคนหมกมุ่นและใช้เวลากับการวาดรูปได้ทั้งวันโดยที่อาจจะลืมกินข้าวไปเลยด้วยซ้ำ

Slide1

หากเปรียบชีวิตเหมือนการวิ่ง แรงจูงใจในที่นี้ก็คือ เส้นชัย เพื่อเติมเต็มความต้องการเราจึงต้องออกวิ่งเพื่อไปถึงเส้นชัยได้โดยเร็วที่สุด ถ้าทุกอย่างราบลื่นเราสามารถวิ่งไปถึงเส้นชัยได้โดยง่ายก็คงเป็นเรื่องดี แต่ชีวิตมักจะไม่ง่ายแบบนั้น ทุกคนก็ต่างต้องพบกับข้อจำกัดต่างๆนาๆที่จะทำให้เราวิ่งไปไม่ถึงเส้นชัยเสียที ถ้าหากใช้ตัวอย่างเดิม ข้อจำกัดเหล่านั้นก็เปรียบเหมือนร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เราไม่สามารถวิ่งได้อย่างเต็มที่นั่นเอง สุดท้ายเราบางคนอาจจะเลือกวิ่งให้เร็วและเมื่อเหนื่อยก็พักผ่อน หรือบางคนก็อาจเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆอย่างคงที่ คือ แต่ละคนก็จะมีวิธีการไปสู่เส้นชัยตามแบบฉบับที่ตัวเองชอบ

Slide2

มากเท่าไหร่จึงเรียกว่าฟิน?

สมมติว่า ถ้าหากตอนนี้เป้าหมายของเราคือความสุขที่ได้จากการทำอะไรซ้ำๆ เช่น ดูละคร คำถามที่ตามมาก็คือเราควรจะดูละครมากเท่าไหร่ถึงจะดี

แน่นอนว่าคนที่ชอบดูละครก็จะต้องได้รับความสุขเพิ่มขึ้นจากการดูละคร ยิ่งดูไป 1 ตอน ก็ยิ่งอยากดูตอนที่ 2 แต่หลายๆครั้ง เมื่อทำอะไรซ้ำๆ ก็จะเริ่มถึงจุดอิ่มตัว หรือเกิดความเบื่อหน่ายขึ้น ในทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การลดลงของผลได้ และเมื่อการกระทำของเรามีต้นทุน เมื่อเราดูละครมากจนเกินไป ก็จะทำให้ความสุขลดลงได้เช่นกัน

ดังนั้นแล้ว จุดที่ดีที่สุดคืออะไร จุดนั้นก็คือ จุดที่เรายังคงรู้สึกคุ้มค่ากับมันเป็นหน่วยสุดท้าย ความสุขทั้งหมดที่เราได้ก็คือ ความสุข-ต้นทุน ของทุกๆหน่วยมารวมกัน และถ้าหากเราเลือกดูละครเพิ่มขึ้นอีก 1 ตอน จะทำให้ความสุขของเราลดลง (เนื่องจากต้นทุนในการดูละครในตอนสุดท้ายนี้สูงเกินกว่าสิ่งที่ได้รับเสียแล้ว)

ความฟินของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไปตามความชอบ เช่น ถ้าหากคนที่ชอบดูละครมากๆ จุดดังกล่าวอาจะเลื่อนไปเป็น ตอนที่ 20 หรือ 30 ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยชอบดูละครนั้นอาจจะฟินตั้งแต่ตอนที่ 3 แล้วก็เป็นได้

กฎการลดลงของผลได้นี้เกิดขึ้นเสมอและเกิดขึ้นกับทุกเรื่อง และเราจะต้องเสียทรัพยากรในวิ่งที่เราเลือกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดูละครซึ่งใช้ทรัพยากรด้านเวลา หรือการซื้อของซึ่งต้องใช้ทรัพยากรด้านตัวเงิน หรือแม้แต่การดื่มสุราซึ่งทรัพยากรที่ต้องเสียไปก็คือสุขภาพ ซึ่งก็เปรียบได้กับว่า ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาของมัน

Slide3

ทำไมต้องราคา?

ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น สิ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดมักหนีไม่พ้นราคา แต่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์หลายคนจึงต้องหมกมุ่นอะไรกับราคามากนัก? คำตอบหนึ่งก็คือ ราคานั้นเป็นตัวที่มีความเชื่องโยงกับ แรงจูงใจ ของคนจำนวนมาก ในโลกที่ทุกอย่างสามารถแปลงให้เป็นสินค้าได้(ไม่ก็พยายามแปลงอยู่) ก็จะต้องมีการซื้อขาย และราคาก็เป็นตัวสะท้อนทั้งผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งมีมากหน้าหลายตานับไม่ถ้วน

ในด้านผู้ซื้อ ราคาเป็นตัวสะท้อนต้นทุน เมื่อของที่มีราคาแพง ก็จะทำให้กำลังซื้อของเราลดลง ผลก็คือทำให้เราเลือกซื้อน้อยลง(ถึงแม้เราอยากซ์้อมันใจจะขาด) แต่ในทางกลับกัน ราคาที่สูงขึ้นก็จะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตนั้นอยากขายออกมาให้ได้มากๆ เพราะสินค้าทุกชิ้นที่ขายได้นั้นมีกำไรต่อหน่วยที่สูงขึ้น

ราคาของสินค้าชนิดหนึ่งยังสามารถกระทบไปยังสินค้าชนิดอื่นๆอย่างเป็นระบบ เช่น เมื่อราคาข้าวแพง ก็จะทำให้ราคาขนมปังแพงขึ้นเพราะคนเลือกที่จะกินขนมปังทดแทน แต่ในขณะเดียวกัน ราคากับข้าวก็จะลดลง เพราะคนที่ซื้อข้าวกินกับกับข้าวนั้นมีกำลังซื้อลดลง

Slide4

ปล้นแบงค์หรือปล้นคนแก่?

แรงจูงใจนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องดีๆ หรือ การหาเงิน การซื้อ-ขายของ เท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมได้มากมายเช่นกัน แรงจูงใจที่ต้องการรวยของคนที่ไม่มีโอกาสทำงาน จะแสดงออกด้วยการทำสิ่งที่ผิดต่อสังคม เช่น การปล้น

การปล้นนั้นผู้ร้ายสามารถเลือกเป้าหมายได้ว่าจะปล้นใคร ด้วยวิธีการอะไร โดยเป้าหมายแต่ละประเภทก็จะมีผลได้และผลเสียที่แตกต่างกันอยู่บ้าง

– การปล้นธนาคารก็อาจทำให้ได้เงินเยอะมากในคราวเดียว สามารถกินอิ่มไปได้อีกนาน แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในการโดนจับก็มีสูงและอาจโดนข้อหาที่มีความรุนแรงมากด้วย

– ในทางตรงข้าม หากเราเลือกปล้นคนชรา โอกาสที่เขาจะสามารถป้องกันตัวเอง หรือไปแจ้งความแล้วมีคนตามจับเราได้นั้นน้อยกว่าการปล้นธนาคารมาก แต่เราอาจพบกับความไม่แน่นอนว่าจะปล้นแล้วได้เงินมาซักเท่าไหร่

Slide5

ความขัดแย้งของสังคม

นอกจากแรงจูงใจจะเป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งที่ดีและไม่ดีในระดับบุคคลแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดผลกระทบในระดับสังคมวงกว้างได้ด้วย เช่น ความขัดแย้งของ คน 2กลุ่ม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ความขัดแย้งในการพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การสร้างท่าเรือทางภาคใต้นั้นเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่การสร้างท่าเรือเท่ากับการทำลายสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่ชาวบ้านพึ่งพาอาศัยและทำมาหากินกับมันมาหลายรุ่น ด้วยแรงจูงใจที่ไม่ตรงกัน (ไม่ได้บอกว่าใครไม่ดี) จึงทำให้เกิดการถกเถียงถึงความคุ้มค่าและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคม

Slide6

แต่ในทางปฏิบัตินั้น การถกเถียงกันมักนำมาซึ่งการใช้อำนาจและเส้นสายที่มีไม่เท่าเทียมกัน คือ ฝั่งนายทุนนั้นก็มักใช้อำนาจสั่งการหรือใช้เงินเพื่อผลักดันโครงการต่างๆให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว (อย่าลืมว่าเวลาก็มีต้นทุน) แต่ในฝั่งชาวบ้านซึ่งมักถูกละเลยโดยเจ้าหน้าที่ ก็จะต้องใช้วิธีการเช่นการประท้วงและการขัดขวางการดำเนินงานเพื่อไม่ให้สิ่งที่ตนเองยึดถือนั้นถูกทำลายลง

ปัญหาที่ว่ามานี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นมาโดยตลอด บางครั้งฝั่งนายทุนก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไป ในบางพื้นที่ชาวบ้านก็สามารถขัดขวางได้อย่างแข็งแกร่งและแสดงให้เห็นว่าเงินก็ไม่ได้สามารถเสกได้ทุกอย่าง

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ

เพราะเรามีไม่พอ

สิ่งที่เรามี ก็หมายถึง ทรัพยากรต่างๆที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเงิน/เวลา/ความรู้ความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าและทุกคนก็มีความต้องการ เพราะสิ่งเหล่านี้ เราสามารถนำไปใช้ นำไปต่อยอด เพื่อให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ไม่มีเวลา” เป็นสิ่งที่ใครๆก็พูด ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีเวลาเท่ากัน คือ ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ เพราะ เราทุกคนก็มีเวลา 24 ชม.ในแต่ละวัน แต่เราไม่รู้ว่ามีเวลาอยู่กี่วันกันแน่ (ชีวิตเดินอยู่บนความเสี่ยงน่ะครับ) แต่ เราทุกคนก็มีกิจกรรมที่อยากทำมากมาย ตั้งแต่การนอน การท่องเที่ยว การเรียนรู้ การช่วยเหลือสังคม หรือการพยายามค้นหาอะไรที่สูงส่งยิ่งกว่านั้น

ทุกกิจกรรมที่เราอยากทำนั้นล้วนแต่ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงต้องมีการจัดการทรัพยากรเพื่อให้ถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Slide1

 

ต้นทุนค่าเสียโอกาส – เครื่องมือในการเปรียบเทียบ

เพื่อให้เราจัดการทรัพยากรได้ดีที่สุด เราก็ต้องเปรียบเทียบ ต้นทุน ในการใช้ทรัพยากรที่ขาดแคลน

ยกตัวอย่างเช่น กลางวันของวันหนึ่ง เรามีเงินพอที่จะซื้อข้าวเที่ยงได้เพียง 1 อย่าง แต่ว่ามีให้เราเลือกระหว่าง 1. ข้าวแกง และ 2. ก๋วยเตี๋ยว เราจะตัดสินใจระหว่าง 2 อย่างนี้อย่างไร?

Slide2

หากเราเลือกข้าว สิ่งที่เรากำลังจะเสียไปก็คือ ความสุขจากการทานก๋วยเตี๋ยว (เพราะเรามีเงินซื้อได้เพียง 1 อย่าง) ในทางกลับกัน เมื่อเราเลือกซื้อก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่เรากำลังจะเสียไปก็คือ ความสุขที่ได้จากการกินข้าวนั่นเอง ค่าเสียโอกาสนี้ก็คือ ความสุขที่จะไม่ได้รับ ไม่ใช่เงินที่เราเสียไป

นอกจากนี้ ถ้าหากเวลากินข้าวมีจำกัดด้วย เราก็ต้องทำการเปรียบเทียบอีกว่า การกินข้าวกับก๋วยเตี๋ยวนั้น จะทำให้เราเสียโอกาสในการนอนงีบช่วงกลางวัน หรือนั่งพูดคุยผ่อนคลายกับเพื่อนๆไปมากเท่าใด

ด้วยหลักการเดียวกันนี้ ก็ได้ทำให้ประเทศอังกฤษสามารถผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งการค้าในช่วงยุคบุกเบิก ที่ประเทศอังกฤษ เลือกที่จะผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และซื้อสินค้าประเภทอาหาร เพราะ อังกฤษมีค่าเสียโอกาสในการใช้คนเพื่อปลูกข้าว มากกว่าการผลิตเสื้อนั่นเอง (แม้ว่าจริงๆแล้ว อังกฤษจะเป็นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าแทบทุกอย่างได้เก่งกว่าประเทศอื่นๆ)

 

แจกข้าวฟรี (จริงหรือ)

Slide3

ในสำนวนภาษาอังกฤษ คนมักพูดว่า There is no Free Lunch หรือถ้าแปลไทยก็คือ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หลายคนก็จะเริ่มสงสัย เพราะที่ผ่านมา ก็เห็นว่ามีหลายที่ที่มีการแจกอาหารให้กับคนฟรีๆ อิ่มท้องแถมตังค์ยังอยู่ครบ แล้วมันจะไม่ฟรีได้อย่างไร?

คำตอบคือ

.

.

.

.

.

.

.

.

คิวต่อแถวที่ยาวมากกกกกกกกกก

Slide4

เพราะไม่ต้องเสียเงินเพื่อรับอาหาร ทำให้สามารถลดต้นทุนที่เป็นตัวเงินออกไปได้ ดังนั้น คนจึงเข้ามาต่อแถวมากขึ้น แต่เมื่อแถวยาว ก็ได้ทำให้เกิดต้นทุนทางด้านเวลาแทน

ถ้าเราต้องเข้าแถวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เราก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่า เวลาจำนวนเท่านี้เราจะหาความสุขได้มากขนาดไหน

ถ้าหากที่แจกข้าวนี้ ไม่ได้แจกน้ำด้วย แล้วคุณก็สามารถคิดได้ทันทีว่า คนจะต้องหิวน้ำมาก คุณอาจใช้เวลา 1 ชม.ในการต่อแถวเพื่อรับข้าว มาขายน้ำให้กับคนที่อยู่ในคิว เงินที่คุณได้จากการขายน้ำนี้อาจจะทำให้คุณสามารถกินข้าวไปได้อีกหลายมื้อก็ได้

ดังนั้น คนที่จะกล้าพอที่จะต่อคุยยาวเหยียดได้ ก็จะต้องเป็นคนที่มีต้นทุนทางเวลาต่ำเท่านั้น คือ ไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไรดี

เคยมีคนทำการประมาณการว่า บิล เกตส์ (เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก) สามารถทำเงินได้เป็น 115 ดอลลาร์ต่อวินาที (ราว 4000 บาท) คุณคงรู้ได้ทันทีว่า บิล เกตส์คงไม่กล้าเสียเวลาเพื่อรับของฟรีอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ

ถึงตรงนี้คุณก็คงจะรู้แล้วว่า มาตรการการแจกของ โดยที่ต้องการให้คนจนเป็นคนได้รับโดยที่คนรวยไม่ได้ประโยชน์คืออะไร

 

คนดีไม่มีที่อยู่

Slide5

สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ค่าเสียโอกาสนี่เองที่เป็นสิ่งที่บงการความผิดชอบชั่วดีของเราอยู่ เราอาจเห็นว่าในปัจจุบันอัตราการก่ออาชญากรรมนั้นได้ลดลง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดไปได้ นั่นเป็นเพราะ การเป็นคนดีนั้นมีต้นทุนที่สูง คือ การเป็นคนดีนั้นจะต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง ต้องระวังทุกก้าวเดินในชีวิต เพราะ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็จะทำให้เขาถูกมองในสายตาของทุกคนว่าเป็นคนเลวขึ้นมาทันที ในขณะที่คนเลวนั้นสามารถทำอะไรตามใจชอบได้มากกว่า

การเป็นคนดีจึงแลกมาด้วยความไม่มีอิสระในการทำอะไรหลายๆอย่าง ถ้าหากเราต้องการให้มีคนดีมากขึ้น เราก็ต้องยอมแลกด้วยการให้โอกาสลองผิดลองถูก เพื่อให้เขามีโอกาสที่จะเป็นคนดีที่มีอิสระในชีวิตมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็ควรเพิ่มต้นทุนของการเป็นคนเลว จะด้วยมาตรการทางจิตใจ สังคม หรือเศรษฐกิจก็แล้วแต่ (ปัญหาอยู่ที่เมื่อคนทำผิดแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนดีที่ไม่ได้ตั้งใจทำ หรือเป็นคนเลวที่จ้องแต่จะทำเรื่องแย่ๆ)

 

ภาษีดัดนิสัย

Slide6

ในทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถใช้เครื่องมือ เช่น มาตรการภาษี เข้ามาบิดเบือนการตัดสินใจของคน โดยที่ สิ่งใดที่ไม่ดีต่อบุคคล หรือ ต่อสังคมโดยรวม เราก็ต้องการให้มันมีน้อยลง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของมาตรการภาษีอย่างภาษีบาปที่เพิ่มราคาของสินค้าเช่น สุรา บุหรี่ ให้แพงขึ้น การมีราคาแพงขึ้นนั้น ก็ย่อมหมายความว่า เงินที่นำไปใช้ซื้อสินค้าอื่นย่อมมีน้อยลง และทำให้การเลือกดื่มสุรานั้น จะต้องแลกไปด้วยสิ่งดีๆอื่นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็ไม่สามารถแก้ได้อย่างสมบูรณ์เพราะตราบใดที่คนยังต้องการดื่มอยู่ การได้ดื่มเพียงจำนวนน้อยถึงแม้จะราคาแพง ก็จะให้ความสุขต่อเม็ดเงินที่สูงมากจนทำให้เขายอมเสียสละได้ นอกจากนี้ สุรายังเป็นสิ่งเสพย์ติด ทำให้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเสียจากการไม่ดื่มสุรานั้นมีมากกว่าอะไรอย่างอื่นก็ตาม ทำให้ราคาที่เพิ่มขึ้นจะไม่สามารถทำให้ปริมาณการบริโภคลดลงได้ (กลับกัน ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกที่จะซื้อสุราราคาถูก หรือหนีกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของผู้ดื่ม และ สังคมมากขึ้น)

 

 

เศรษฐศาสตร์คืออะไร?

เศรษฐศาสตร์ (Economics) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับสังคมและมนุษย์ที่ว่าด้วยเรื่องของการจัดการ ตลอดจนการ
พยายามเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยหลักของเหตุและผล ใช้ความคิดอย่างมีตรรกะ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่
ดีขึ้นในอนาคต
 
 
ที่มาของเศรษฐศาสตร์
 
Slide1
 
หลายคนกล่าวว่าเศรษฐศาสตร์เริ่มต้นจาก Adam Smith ในช่วงอังกฤษรุ่งเรือง แต่จริงๆแล้วรากฐานของ
เศรษฐศาสตร์นั้นย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นนับพันปี โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยกรีก ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง oikos
(ครัวเรือน) และ nomos(กฎ) ออกมาเป็น oikonomia(การจัดการครัวเรือน)ซึ่งพูดถึงหลักการในการใช้ชีวิต
และบริหารทรัพย์สินของผู้คน

นั่นหมายความว่า จริงๆแล้ว เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่วิชาใหม่อะไร และก็ไม่ใช่ที่วิชาที่มีความซับซ้อน เพราะตั้งแต่
มนุษย์เริ่มเป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันแนวคิดแบบเศรษฐศาสตร์ ก็ถูกนำเข้ามาใช้โดยไม่รู้ตัว แต่ได้รับการทำให้
เป็นรูปเป็นร่างของ วิชาของการจัดการทรัพยากรต่างๆของมนุษย์ในยุครุ่งเรืองของอังกฤษ  
 
  
ต้องจัดการทรัพยากรชนิดใด
 
Slide2
 
ทรัพยากรในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง อะไรก็ตามที่เรามี ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เงิน แต่กินความกว้างถึงสิ่งที่มี
อยู่ทั้งจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ เช่น เครื่องไม้เครื่องมือ ความรู้ ความชำนาญการ รวมถึงเทคนิคในการผสม
ผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน เมื่อเทียบกับความต้องการของมนุษย์ซึ่งมีอยู่อย่างไม่จำกัด ถือว่าทรัพยากรต่างๆ
เหล่านี้มีไม่เพียงพอ หรือมีความขาดแคลนต่อทรัพยากร คำถามที่เศรษฐศาสตร์สนใจก็คือ 
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างขาดแคลนนี้ควรจะถูกใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
  
Slide3
 
หลักการอย่างง่ายและมีเหตุผลสำหรับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ก็คือ เราก็ควรใช้ทรัพยากรไปกับสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
ซึ่งก็หมายความว่า เงินที่เราจ่ายออกไปเวลาซื้อของจะต้องจ่ายเพื่อความสุขสูงสุด สำหรับเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ที่จ่ายออกไป
 
  
ตัวอย่าง Slide4
 
ตัวอย่างที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุดก็คือ การจัดการกับเวลา ทุกๆคนมีทรัพยากรด้านเวลาเท่ากันในแต่ละวันคือ 
24 ชม. แต่การจะใช้ทรัพยากรนี้จะแตกต่างกันตามมูลค่าที่แต่ละคนให้กับกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นการจัดสรร
เวลาที่มี ก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างความสุขสูงสุด โดย
แบ่งเวลา สำหรับการพักผ่อน และการทำงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้แต่ละคนกินอิ่มนอนหลับมากน้อยตามต้องการ
 
Slide5
 
ตัวอย่างของการจัดสรรทรัพยากรอีกอย่างก็คือ ที่ดิน เช่น หากเรามีที่ดินจำนวนหนึ่ง เราก็ต้องเลือกว่า จะใช้ที่ดิน
ทำอะไร เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด (ทั้งรายได้ และมูลค่า) เพื่อให้ที่ดินอันน้อยนิดของเรานี้สามารถสร้างเงินให้
เราหาซื้อทรัพยากรมาเพิ่มเติมได้ โดยหลักแล้ว ทุกๆสิ่งในโลกล้วนแต่มีเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนประชากร ความต้องการ
สินค้า การขยายกำลังการผลิต แต่สิ่งที่แทบจะไม่สามารถหาเพิ่มได้เลยก็คือที่ดิน ดังนั้น ที่ดินจึงเป็นทรัพยากรที่มี
ความขาดแคลน รวมถึงสามารถสร้างคุณค่าในตนเอง จึงเป็นที่มาว่าทำไมราคาที่ดินจึงแพงลิบ และมีแต่ผู้คนให้
ความสำคัญกับมัน
 
 
ตลาดและกลไกราคา Slide6
 
เมื่อมีทรัพยากร และมีผู้ที่ต้องการทรัพยากร ก็จะทำให้เกิดการผลิต การซื้อขายขึ้นตามอัตโนมัติ คือ เมื่อมีสิ่งใด
ที่คนอยากได้และต้นทุนในการสร้างมันขึ้นมาไม่สูงจนเกินไป ก็จะต้องมีผู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการนั้นๆ 
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายก็คือ ตลาด และเงินที่จ่ายสำหรับสินค้า 1 ชิ้น ก็คือ ราคา ราคาจะขึ้นหรือ
ลงอย่างไรนั้น ก็ขึ้นกับสิ่งที่เรียกว่า กลไกตลาด เมื่อมีความต้องการมากๆ หรือมีคนขายในปริมาณน้อย ก็ย่อม
ทำให้มีราคาสูง และเมื่อใดที่มีความต้องการน้อย หรือมีคนขายกันเต็มไปหมด ก็ย่อมทำให้ราคาลดลง และนี่เป็น
สัจธรรมของโลก
 
 
เศรษฐกิจภาพรวม 
 
Slide7
 
เมื่อเราถอยหลังออกมามองให้ไกลขึ้น เราก็จะเห็นว่าในโลกของเรามีการแลกเปลี่ยนซื้อขายเกิดขึ้นตลอดเวลา
และมีปริมาณมาก เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ เราก็สามารถจัดหมวดหมู่และรวมเอาสิ่งที่แต่ละคนทำให้ออกมาเป็นสิ่ง
ที่กินความกว้างขึ้น ซึ่งเราก็อาจแบ่งได้อย่างง่ายๆ ออกเป็น 3 ด้าน คือ 

1.ด้านการซื้อขายสินค้า (การซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทุกชนิด) 
2.ด้านการใช้ทรัพยากรการผลิต (การว่าจ้างแรงงาน,การประกอบการ,การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ-เครื่องจักร) และ 
3.ด้านการเงิน (การกู้-ยืมเงิน, การลงทุนรูปแบบต่างๆ, การซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน) 

โดยทั้ง 3 ด้านนี้ ล้วนเกิดขึ้นโดยการกระทำระหว่างคน 2 กลุ่ม คือ หน่วยครัวเรือน และ หน่วยการผลิต การจับตา
ดูในภาพรวมนี้เองที่ทำให้เราทราบว่า เศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งมีการขยายตัว หรือหดตัว สามารถ
กำหนดทิศทางในการดำเนินการเพื่อยกระดับให้มาตรฐานการครองชีพของคนดีขึ้น