กลไกตลาด คืออะไร ทำไมใครๆ ก็พูดถึง

การซื้อขายสินค้าเกิดขึ้นจากการตกลงของคน 2 ฝ่าย คือ ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องยินดีที่จะทำการค้าขายกัน ไม่มีผู้ซื้อที่สามารถบังคับให้ผู้ขายขายสินค้าได้ และก็ไม่มีผู้ขายที่ไปบังคับให้ผู้ซื้อซื้อได้

ผู้ซื้อต้องการอะไร

Slide1

สิ่งที่ผู้ซื้อต้องการก็คือ สินค้าที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ และได้สินค้านั้นในราคาที่ถูกที่สุด เช่น ถ้าจะซื้อเสื้อ ก็จะพยายามเลือกสรรให้ได้ราคาถูกที่สุด (สำหรับลวดลาย/เนื้อผ้าที่ต้องการ) และถ้าพบเสื้อราคาถูกจำนวนมาก อย่างในงาน Sale 50% ก็จะเห็นคนแย่งกันซื้อจำนวนมาก แต่ถ้าเสื้อราคาแพงก็จะซื้อน้อยลง

ผู้ขายต้องการอะไร

Slide2

ผู้ขายเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพ ดังนั้นจึงพยายามให้ได้กำไรมากๆ พูดง่ายๆ ก็คือว่า ถ้าขายของได้ราคาดี ก็อยากจะขายให้ได้มาก ๆ แต่ถ้าของชนิดไหนขายได้ราคาถูกก็ไม่อยากขายเท่าไหร่

ตลาดทำหน้าที่อะไร ทำไมถึงมีกลไกตลาด

ตลาดทำหน้าที่นำคนซื้อมาเจอกับคนขาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่มีสถานที่จริง ตลาดออนไลน์ หรือแค่ผู้ซื้อได้มาพบกับผู้ขายก็ได้เกิดตลาดขึ้นแล้ว

แน่นอน ในการพบกันตอนแรกก็คงไม่สามารถรู้ความต้องการของกันและกันได้ดี เช่น ผู้ซื้อจะซื้อเสื้อกี่ตัวที่ราคา 200 บาท แล้วผู้ขายอยากขายมันมากน้อยขนาดไหน

แต่ตลาดสามารถบอกได้ว่า ถ้าขายเสื้อตัวนั้นราคาแพงเกินไป คนก็จะซื้อน้อย ถ้าหากขายถูกเกินไป ก็คงจะมีคนมารุมแย่งกันซื้อจนขายไม่ทัน

Slide3.JPG

กลไกตลาดจึงเริ่มทำงาน

  •  ถ้าขายของแพง มีความต้องการขายมากแต่ไม่มีคนซื้อ ก็ต้องยอมลดราคาลง เพื่อให้ได้กำไรที่ดีขึ้น (กำไรต่อตัวน้อยลง แต่ขายได้จำนวนมากขึ้น ดีกว่าของเหลือ)
  •  ถ้าขายของถูกเกินไป ของก็จะขายหมดก่อน แต่ยังมีคนเข้ามาติดต่อซื้อสินค้าต่อเนื่อง ดังนั้น ถ้าหากขึ้นราคาก็จะทำให้คนที่ต้องการของลดลงพร้อมๆกับทำให้ของที่ขายได้แต่ละชิ้นได้กำไรเพิ่มขึ้น

Slide4

กลไกตลาดจึงปรับราคาของสินค้า ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณที่สำคัญที่สุดปรับตัวเข้าสู่จุดๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ความต้องการซื้อและความต้องการขายเท่ากัน ถ้าเป็นภาษาเศรษฐศาสตร์ก็จะเรียกจุดนี้ว่า ดุลยภาพ คือไม่มีการขยับเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

ดุลยภาพนี้มีข้อดีก็คือ ทำให้มีปริมาณคนที่ได้รับการตอบสนองต่อความต้องการมากที่สุด ขายเสื้อได้มากที่สุดพร้อมๆกับซื้อเสื้อได้มากที่สุด เพราะในราคาที่สูง/ต่ำกว่าจุดนี้ จะมีปริมาณสินค้าซื้อขายจริงน้อยกว่านี้ทั้งหมด

Slide5.JPG

ดังนั้น กลไกตลาดจึงเป็นตัวช่วยส่งสัญญาณ ว่า สินค้าใดมีความต้องการมาก สินค้าใดมีคนขายน้อยเกินไป หรือสินค้าใดไม่มีความต้องการ โดยที่ไม่ต้องมีใครรู้ดีมาสั่งว่าสินค้านั้นๆ จะต้องผลิตมากเท่าไหร่ หรือขายที่ราคาเท่าไหร่ แต่ผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งมีอยู่เยอะในตลาดต่างรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าควรจะปรับตัวกันอย่างไร กลไกตลาดจึงถูกเรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น”

Slide6.JPG

จะขายของต้องทำอะไรบ้าง?

สร้างมูลค่าเพิ่ม

ในโลกการค้า ไม่ใช่ว่าของทุกอย่างจะสามารถขายได้ อากาศซึ่งมีอยู่ทั่วไปถ้าเอามาใส่ขวดขายก็คงไม่มีใครซื้อ แต่อากาศอัดกระป๋องที่นำมาเติมธาตุออกซิเจน หรือ ใส่กลิ่น (น้ำหอม) กลับสามารถขายได้ด้วยราคาแพง

สิ่งสำคัญประการแรกของการขายของคือ สิ่งๆนั้นจะต้องมีมูลค่าเพิ่ม มีคุณค่ากับผู้ซื้อ เช่น การซื้ออาหารถือเป็นการซื้อความสะดวกและรสชาติที่อร่อย การซื้อโทรศัพท์มือถือก็เป็นการซื้อความสามารถในการติดต่อสื่อสาร เป็นต้น

ดังนั้น สิ่งของที่ขายจึงต้องผ่านขั้นตอนของการผลิต โดยนำปัจจัยการผลิตมาแปรรูปด้วย เทคโนโลยี วิธีการ หรือความสามารถเฉพาะตัวให้ออกมาเป็นสิ่งของใหม่ๆที่มีค่าต่อผู้ซื้อ

 

Slide1

 

ปัจจัยการผลิตมีกี่แบบ?

ปัจจัยการผลิตนั้นมีด้วยกัน 2 แบบ คือ ปัจจัยการผลิตที่ต้องใช้มาก/น้อยเมื่อเราต้องการขายสินค้าจำนวนมาก/น้อย และ ปัจจัยการผลิตที่มีจำนวนคงที่ไม่ว่าเราจะขายของจำนวนกี่ชิ้น

เช่น ถ้าเราเป็นร้านขายหมูปิ้ง ถ้าเราต้องการขายหมูปิ้งให้ได้มากๆ ก็ต้องใช้ หมู ไม้ เครื่องเทศ เวลา แรงงาน เสียงตะโกนเรียกลูกค้า จำนวนมากๆ แต่เรารถเข็น 1 คัน หรือมี ร้าน 1 ที่ ก็สามารถขายหมูปิ้งจำนวนเท่าไหร่ก็ได้

ราคาของปัจจัยที่เปลี่ยนไปตามจำนวนการผลิต ก็จะเป็นตัวกำหนดต้นทุนผันแปรของเรา ในขณะที่ราคาค่าเช่าร้าน หรือราคาของปัจจัยคงที่ก็จะเป็นตัวกำหนดต้นทุนคงที่ในการขายของนั่นเอง

สิ่งที่สำคัญก็คือเราจะต้องทำการลงทุน กำหนดปริมาณการขายโดยที่คำนึงถึงต้นทุนในการสร้างสินค้าของเราด้วย

 

Slide2

 

แล้วต้องลงทุนเท่าไหร่?

ปริมาณการลงทุนนอกจากจะขึ้นกับชนิดหรืออุตสาหกรรมที่เราต้องการเข้าไปทำการค้าแล้ว ยังต้องขึ้นกับปริมาณที่เราคิดว่าจะขายด้วย เช่น ถ้าเราต้องการทำธุรกิจขนส่งสินค้า เราก็ต้องคิดว่าเราจะส่งของจำนวนมากหรือน้อย ชิ้นใหญ่หรือเล็ก ระยะทางไกลหรือใกล้

การวางแผนธุรกิจนี้ก็จะเป็นตัวบอกเราว่า ธุรกิจขนส่งของเรานี้ อาจจะใช้แค่รถเข็นเล็กๆซึ่งมีราคาถูกก็เพียงพอแล้วเพราะเราจะส่งของเบา ระยะใกล้ และจำนวนไม่มาก แต่ถ้าเราต้องการส่งของไกลๆ เราเข็นรถเข็นไปก็คงไม่ไหว ต้นทุนค่าเสียเวลาของเรานั้นคงจะไม่คุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน เราก็ต้องซื้อรถบรรทุกเพื่อที่จะได้ส่งของได้ทีละมากๆและระยะไกล

ประเด็นอยู่ที่ว่า ปริมาณการลงทุนกับต้นทุนต่อหน่วยนั้นจะไปในทางตรงกันข้าม ถ้าเราลงทุนน้อย เราก็ต้องใช้แรงเยอะ หรือใช้เวลาเยอะในการส่งของทำให้ต้นทุนส่งของต่อชิ้นแพงกว่าการที่เราขนของด้วยรถซึ่งการขนของ 1 รอบสามารถนำของไปด้วยได้จำนวนมากกว่ากันเป็นสิบๆเท่า และถ้าเรายิ่งขนของมากขึ้นในแต่ละรอบ ก็ยิ่งทำให้ต้นทุนของเราถูกลงซึ่งปรากฏการณ์นี้เรียนว่า การประหยัดต่อขนาด

 

Slide3

 

แล้วสรุปว่าจะต้องขายเท่าไหร่?

ถ้าเราต้องการขายของ เราก็ต้องมีเป้าหมายของสิ่งที่อยากได้ และสิ่งที่คนต้องการจากการค้าขายมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “กำไร” เพื่อที่จะเป็นเศรษฐีเงินล้านกันสักวันหนึ่ง

กำไรก็คิดคำนวณได้ง่ายๆ คือ เราขายของได้เท่าไหร่ หักออกด้วยต้นทุนที่เราใช้ไป สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือกำไร โจทย์ก็ง่ายคือ เราจะทำยังไงให้รายได้มีเยอะๆ และมีต้นทุนน้อยๆ และทำให้ส่วนต่างของรายได้กับต้นทุนห่างกันมากที่สุด

 

Slide5

 

แต่ถ้าคิดจากต้นทุนรวมคุณจะไม่รวยที่สุด

เมื่อลงทุนผลิตสินค้าอะไรสักอย่างแล้ว ต้นทุนที่คงที่ต่างๆเป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาคิดแล้ว เรื่องนี้ก็ตรงไปตรงมา เพราะ ถ้าเราลงทุนไป 1000 บาทเป็นปัจจัยคงที่ เช่น เช่าร้าน และของที่เราจะขายมีต้นทุนชิ้นละ 10 บาท สามารถขายได้ชิ้นละ 20 บาท ในกรณีดังกล่าวนี้เราก็ต้องพยายามขายให้ได้จำนวนชิ้นมากที่สุด เพราะการที่เราไม่ขายเลยเราก็ต้องจ่าย 1000 บาทนั้นไปอยู่ดี แต่ถ้าเราขายได้ก็จะทำให้กำไรของเราเพิ่มขึ้นเป็น -990, -980,… และถ้าเราขายดีจริงๆ เราก็จะสามารถพลิกเลขติดลบนี้ขึ้นมาเป็นบวกได้ ซึ่งก็หมายความว่าเราได้กำไรจากการลงทุนครั้งนี้แล้ว

 

Slide6

 

แต่ถ้าเราจะขายได้จำนวนมากจริงๆ สุดท้ายแล้วต้นทุนต่อหน่วยก็จะสูงขึ้น เช่น การขายของ 100 ชิ้น อาจจะไม่ยากมาก แต่ถ้าเราต้องขายของแบบเดียวกันนี้ 10,000 ชิ้น เราก็อาจจะต้องมีการโฆษณา มีการลด แลก แจก แถม ซึ่งทำให้ต้นทุนแพงขึ้น  ไม่ก็มีราคาต่อชิ้นต่ำลง สุดท้ายเราก็ต้องหาจุดสมดุลที่จะเลือกขายสินค้าอย่างพอดีๆ และสร้างเส้นทางสู่เงินล้านของตัวเอง

 

แรงจูงใจ…พลังที่ขับเคลื่อนทุกสิ่ง

จากความฝันสู่ความเป็นจริง

เราทุกคนคงมีความฝัน เป้าหมาย สิ่งที่ตนเองอยากได้หรืออยากมี ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน แต่ความต้องการเหล่านี้เองที่เป็นจุดตั้งต้นให้เราตั้งใจทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง เพื่อให้ไปถึงจุดหมายที่เราวาดฝันไว้

แรงจูงใจเป็นแรงผลักดัน หรือตัวกระตุ้น ให้เราทำหรือไม่ทำอะไรเพื่อให้บรรลุความฝันของตัวเอง เช่น

– หากเราต้องการรวย แรงจูงใจในการอยากรวยก็จะทำให้เราขยันทำงาน ศึกษาเรื่องราวการทำธุรกิจ หรือการลงทุนเพื่อให้แรงงาน/เงินออมของเราสามารถออกดอกออกผลและต่อยอดให้เรา มีกินมีใช้อย่างสุขสบาย

– เมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจเคยอยากวาดรูปเก่ง ซึ่งก็เป็นแรงผลักดันให้หลายๆคนหมกมุ่นและใช้เวลากับการวาดรูปได้ทั้งวันโดยที่อาจจะลืมกินข้าวไปเลยด้วยซ้ำ

Slide1

หากเปรียบชีวิตเหมือนการวิ่ง แรงจูงใจในที่นี้ก็คือ เส้นชัย เพื่อเติมเต็มความต้องการเราจึงต้องออกวิ่งเพื่อไปถึงเส้นชัยได้โดยเร็วที่สุด ถ้าทุกอย่างราบลื่นเราสามารถวิ่งไปถึงเส้นชัยได้โดยง่ายก็คงเป็นเรื่องดี แต่ชีวิตมักจะไม่ง่ายแบบนั้น ทุกคนก็ต่างต้องพบกับข้อจำกัดต่างๆนาๆที่จะทำให้เราวิ่งไปไม่ถึงเส้นชัยเสียที ถ้าหากใช้ตัวอย่างเดิม ข้อจำกัดเหล่านั้นก็เปรียบเหมือนร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ทำให้เราไม่สามารถวิ่งได้อย่างเต็มที่นั่นเอง สุดท้ายเราบางคนอาจจะเลือกวิ่งให้เร็วและเมื่อเหนื่อยก็พักผ่อน หรือบางคนก็อาจเลือกที่จะเดินไปเรื่อยๆอย่างคงที่ คือ แต่ละคนก็จะมีวิธีการไปสู่เส้นชัยตามแบบฉบับที่ตัวเองชอบ

Slide2

มากเท่าไหร่จึงเรียกว่าฟิน?

สมมติว่า ถ้าหากตอนนี้เป้าหมายของเราคือความสุขที่ได้จากการทำอะไรซ้ำๆ เช่น ดูละคร คำถามที่ตามมาก็คือเราควรจะดูละครมากเท่าไหร่ถึงจะดี

แน่นอนว่าคนที่ชอบดูละครก็จะต้องได้รับความสุขเพิ่มขึ้นจากการดูละคร ยิ่งดูไป 1 ตอน ก็ยิ่งอยากดูตอนที่ 2 แต่หลายๆครั้ง เมื่อทำอะไรซ้ำๆ ก็จะเริ่มถึงจุดอิ่มตัว หรือเกิดความเบื่อหน่ายขึ้น ในทางเศรษฐศาสตร์เราจะเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การลดลงของผลได้ และเมื่อการกระทำของเรามีต้นทุน เมื่อเราดูละครมากจนเกินไป ก็จะทำให้ความสุขลดลงได้เช่นกัน

ดังนั้นแล้ว จุดที่ดีที่สุดคืออะไร จุดนั้นก็คือ จุดที่เรายังคงรู้สึกคุ้มค่ากับมันเป็นหน่วยสุดท้าย ความสุขทั้งหมดที่เราได้ก็คือ ความสุข-ต้นทุน ของทุกๆหน่วยมารวมกัน และถ้าหากเราเลือกดูละครเพิ่มขึ้นอีก 1 ตอน จะทำให้ความสุขของเราลดลง (เนื่องจากต้นทุนในการดูละครในตอนสุดท้ายนี้สูงเกินกว่าสิ่งที่ได้รับเสียแล้ว)

ความฟินของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไปตามความชอบ เช่น ถ้าหากคนที่ชอบดูละครมากๆ จุดดังกล่าวอาจะเลื่อนไปเป็น ตอนที่ 20 หรือ 30 ในขณะที่คนที่ไม่ค่อยชอบดูละครนั้นอาจจะฟินตั้งแต่ตอนที่ 3 แล้วก็เป็นได้

กฎการลดลงของผลได้นี้เกิดขึ้นเสมอและเกิดขึ้นกับทุกเรื่อง และเราจะต้องเสียทรัพยากรในวิ่งที่เราเลือกเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการดูละครซึ่งใช้ทรัพยากรด้านเวลา หรือการซื้อของซึ่งต้องใช้ทรัพยากรด้านตัวเงิน หรือแม้แต่การดื่มสุราซึ่งทรัพยากรที่ต้องเสียไปก็คือสุขภาพ ซึ่งก็เปรียบได้กับว่า ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีราคาของมัน

Slide3

ทำไมต้องราคา?

ในทางเศรษฐศาสตร์นั้น สิ่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดมักหนีไม่พ้นราคา แต่ทำไมนักเศรษฐศาสตร์หลายคนจึงต้องหมกมุ่นอะไรกับราคามากนัก? คำตอบหนึ่งก็คือ ราคานั้นเป็นตัวที่มีความเชื่องโยงกับ แรงจูงใจ ของคนจำนวนมาก ในโลกที่ทุกอย่างสามารถแปลงให้เป็นสินค้าได้(ไม่ก็พยายามแปลงอยู่) ก็จะต้องมีการซื้อขาย และราคาก็เป็นตัวสะท้อนทั้งผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งมีมากหน้าหลายตานับไม่ถ้วน

ในด้านผู้ซื้อ ราคาเป็นตัวสะท้อนต้นทุน เมื่อของที่มีราคาแพง ก็จะทำให้กำลังซื้อของเราลดลง ผลก็คือทำให้เราเลือกซื้อน้อยลง(ถึงแม้เราอยากซ์้อมันใจจะขาด) แต่ในทางกลับกัน ราคาที่สูงขึ้นก็จะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตนั้นอยากขายออกมาให้ได้มากๆ เพราะสินค้าทุกชิ้นที่ขายได้นั้นมีกำไรต่อหน่วยที่สูงขึ้น

ราคาของสินค้าชนิดหนึ่งยังสามารถกระทบไปยังสินค้าชนิดอื่นๆอย่างเป็นระบบ เช่น เมื่อราคาข้าวแพง ก็จะทำให้ราคาขนมปังแพงขึ้นเพราะคนเลือกที่จะกินขนมปังทดแทน แต่ในขณะเดียวกัน ราคากับข้าวก็จะลดลง เพราะคนที่ซื้อข้าวกินกับกับข้าวนั้นมีกำลังซื้อลดลง

Slide4

ปล้นแบงค์หรือปล้นคนแก่?

แรงจูงใจนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องดีๆ หรือ การหาเงิน การซื้อ-ขายของ เท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาในสังคมได้มากมายเช่นกัน แรงจูงใจที่ต้องการรวยของคนที่ไม่มีโอกาสทำงาน จะแสดงออกด้วยการทำสิ่งที่ผิดต่อสังคม เช่น การปล้น

การปล้นนั้นผู้ร้ายสามารถเลือกเป้าหมายได้ว่าจะปล้นใคร ด้วยวิธีการอะไร โดยเป้าหมายแต่ละประเภทก็จะมีผลได้และผลเสียที่แตกต่างกันอยู่บ้าง

– การปล้นธนาคารก็อาจทำให้ได้เงินเยอะมากในคราวเดียว สามารถกินอิ่มไปได้อีกนาน แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในการโดนจับก็มีสูงและอาจโดนข้อหาที่มีความรุนแรงมากด้วย

– ในทางตรงข้าม หากเราเลือกปล้นคนชรา โอกาสที่เขาจะสามารถป้องกันตัวเอง หรือไปแจ้งความแล้วมีคนตามจับเราได้นั้นน้อยกว่าการปล้นธนาคารมาก แต่เราอาจพบกับความไม่แน่นอนว่าจะปล้นแล้วได้เงินมาซักเท่าไหร่

Slide5

ความขัดแย้งของสังคม

นอกจากแรงจูงใจจะเป็นตัวขับเคลื่อนสิ่งที่ดีและไม่ดีในระดับบุคคลแล้ว ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดผลกระทบในระดับสังคมวงกว้างได้ด้วย เช่น ความขัดแย้งของ คน 2กลุ่ม

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ ความขัดแย้งในการพัฒนาที่ดินซึ่งเป็นแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ การสร้างท่าเรือทางภาคใต้นั้นเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่การสร้างท่าเรือเท่ากับการทำลายสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติที่ชาวบ้านพึ่งพาอาศัยและทำมาหากินกับมันมาหลายรุ่น ด้วยแรงจูงใจที่ไม่ตรงกัน (ไม่ได้บอกว่าใครไม่ดี) จึงทำให้เกิดการถกเถียงถึงความคุ้มค่าและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคม

Slide6

แต่ในทางปฏิบัตินั้น การถกเถียงกันมักนำมาซึ่งการใช้อำนาจและเส้นสายที่มีไม่เท่าเทียมกัน คือ ฝั่งนายทุนนั้นก็มักใช้อำนาจสั่งการหรือใช้เงินเพื่อผลักดันโครงการต่างๆให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว (อย่าลืมว่าเวลาก็มีต้นทุน) แต่ในฝั่งชาวบ้านซึ่งมักถูกละเลยโดยเจ้าหน้าที่ ก็จะต้องใช้วิธีการเช่นการประท้วงและการขัดขวางการดำเนินงานเพื่อไม่ให้สิ่งที่ตนเองยึดถือนั้นถูกทำลายลง

ปัญหาที่ว่ามานี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นมาโดยตลอด บางครั้งฝั่งนายทุนก็เป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไป ในบางพื้นที่ชาวบ้านก็สามารถขัดขวางได้อย่างแข็งแกร่งและแสดงให้เห็นว่าเงินก็ไม่ได้สามารถเสกได้ทุกอย่าง

ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ

เพราะเรามีไม่พอ

สิ่งที่เรามี ก็หมายถึง ทรัพยากรต่างๆที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเงิน/เวลา/ความรู้ความสามารถ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าและทุกคนก็มีความต้องการ เพราะสิ่งเหล่านี้ เราสามารถนำไปใช้ นำไปต่อยอด เพื่อให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ไม่มีเวลา” เป็นสิ่งที่ใครๆก็พูด ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ทุกคนก็มีเวลาเท่ากัน คือ ไม่รู้ว่ามีเท่าไหร่ เพราะ เราทุกคนก็มีเวลา 24 ชม.ในแต่ละวัน แต่เราไม่รู้ว่ามีเวลาอยู่กี่วันกันแน่ (ชีวิตเดินอยู่บนความเสี่ยงน่ะครับ) แต่ เราทุกคนก็มีกิจกรรมที่อยากทำมากมาย ตั้งแต่การนอน การท่องเที่ยว การเรียนรู้ การช่วยเหลือสังคม หรือการพยายามค้นหาอะไรที่สูงส่งยิ่งกว่านั้น

ทุกกิจกรรมที่เราอยากทำนั้นล้วนแต่ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงต้องมีการจัดการทรัพยากรเพื่อให้ถูกใช้ไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Slide1

 

ต้นทุนค่าเสียโอกาส – เครื่องมือในการเปรียบเทียบ

เพื่อให้เราจัดการทรัพยากรได้ดีที่สุด เราก็ต้องเปรียบเทียบ ต้นทุน ในการใช้ทรัพยากรที่ขาดแคลน

ยกตัวอย่างเช่น กลางวันของวันหนึ่ง เรามีเงินพอที่จะซื้อข้าวเที่ยงได้เพียง 1 อย่าง แต่ว่ามีให้เราเลือกระหว่าง 1. ข้าวแกง และ 2. ก๋วยเตี๋ยว เราจะตัดสินใจระหว่าง 2 อย่างนี้อย่างไร?

Slide2

หากเราเลือกข้าว สิ่งที่เรากำลังจะเสียไปก็คือ ความสุขจากการทานก๋วยเตี๋ยว (เพราะเรามีเงินซื้อได้เพียง 1 อย่าง) ในทางกลับกัน เมื่อเราเลือกซื้อก๋วยเตี๋ยว สิ่งที่เรากำลังจะเสียไปก็คือ ความสุขที่ได้จากการกินข้าวนั่นเอง ค่าเสียโอกาสนี้ก็คือ ความสุขที่จะไม่ได้รับ ไม่ใช่เงินที่เราเสียไป

นอกจากนี้ ถ้าหากเวลากินข้าวมีจำกัดด้วย เราก็ต้องทำการเปรียบเทียบอีกว่า การกินข้าวกับก๋วยเตี๋ยวนั้น จะทำให้เราเสียโอกาสในการนอนงีบช่วงกลางวัน หรือนั่งพูดคุยผ่อนคลายกับเพื่อนๆไปมากเท่าใด

ด้วยหลักการเดียวกันนี้ ก็ได้ทำให้ประเทศอังกฤษสามารถผงาดขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งการค้าในช่วงยุคบุกเบิก ที่ประเทศอังกฤษ เลือกที่จะผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และซื้อสินค้าประเภทอาหาร เพราะ อังกฤษมีค่าเสียโอกาสในการใช้คนเพื่อปลูกข้าว มากกว่าการผลิตเสื้อนั่นเอง (แม้ว่าจริงๆแล้ว อังกฤษจะเป็นประเทศที่สามารถผลิตสินค้าแทบทุกอย่างได้เก่งกว่าประเทศอื่นๆ)

 

แจกข้าวฟรี (จริงหรือ)

Slide3

ในสำนวนภาษาอังกฤษ คนมักพูดว่า There is no Free Lunch หรือถ้าแปลไทยก็คือ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หลายคนก็จะเริ่มสงสัย เพราะที่ผ่านมา ก็เห็นว่ามีหลายที่ที่มีการแจกอาหารให้กับคนฟรีๆ อิ่มท้องแถมตังค์ยังอยู่ครบ แล้วมันจะไม่ฟรีได้อย่างไร?

คำตอบคือ

.

.

.

.

.

.

.

.

คิวต่อแถวที่ยาวมากกกกกกกกกก

Slide4

เพราะไม่ต้องเสียเงินเพื่อรับอาหาร ทำให้สามารถลดต้นทุนที่เป็นตัวเงินออกไปได้ ดังนั้น คนจึงเข้ามาต่อแถวมากขึ้น แต่เมื่อแถวยาว ก็ได้ทำให้เกิดต้นทุนทางด้านเวลาแทน

ถ้าเราต้องเข้าแถวเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เราก็ต้องเริ่มคิดแล้วว่า เวลาจำนวนเท่านี้เราจะหาความสุขได้มากขนาดไหน

ถ้าหากที่แจกข้าวนี้ ไม่ได้แจกน้ำด้วย แล้วคุณก็สามารถคิดได้ทันทีว่า คนจะต้องหิวน้ำมาก คุณอาจใช้เวลา 1 ชม.ในการต่อแถวเพื่อรับข้าว มาขายน้ำให้กับคนที่อยู่ในคิว เงินที่คุณได้จากการขายน้ำนี้อาจจะทำให้คุณสามารถกินข้าวไปได้อีกหลายมื้อก็ได้

ดังนั้น คนที่จะกล้าพอที่จะต่อคุยยาวเหยียดได้ ก็จะต้องเป็นคนที่มีต้นทุนทางเวลาต่ำเท่านั้น คือ ไม่รู้จะเอาเวลาไปทำอะไรดี

เคยมีคนทำการประมาณการว่า บิล เกตส์ (เศรษฐีอันดับ 1 ของโลก) สามารถทำเงินได้เป็น 115 ดอลลาร์ต่อวินาที (ราว 4000 บาท) คุณคงรู้ได้ทันทีว่า บิล เกตส์คงไม่กล้าเสียเวลาเพื่อรับของฟรีอย่างแน่นอนใช่ไหมครับ

ถึงตรงนี้คุณก็คงจะรู้แล้วว่า มาตรการการแจกของ โดยที่ต้องการให้คนจนเป็นคนได้รับโดยที่คนรวยไม่ได้ประโยชน์คืออะไร

 

คนดีไม่มีที่อยู่

Slide5

สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือ ค่าเสียโอกาสนี่เองที่เป็นสิ่งที่บงการความผิดชอบชั่วดีของเราอยู่ เราอาจเห็นว่าในปัจจุบันอัตราการก่ออาชญากรรมนั้นได้ลดลง แต่ก็ไม่สามารถกำจัดไปได้ นั่นเป็นเพราะ การเป็นคนดีนั้นมีต้นทุนที่สูง คือ การเป็นคนดีนั้นจะต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง ต้องระวังทุกก้าวเดินในชีวิต เพราะ ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ก็จะทำให้เขาถูกมองในสายตาของทุกคนว่าเป็นคนเลวขึ้นมาทันที ในขณะที่คนเลวนั้นสามารถทำอะไรตามใจชอบได้มากกว่า

การเป็นคนดีจึงแลกมาด้วยความไม่มีอิสระในการทำอะไรหลายๆอย่าง ถ้าหากเราต้องการให้มีคนดีมากขึ้น เราก็ต้องยอมแลกด้วยการให้โอกาสลองผิดลองถูก เพื่อให้เขามีโอกาสที่จะเป็นคนดีที่มีอิสระในชีวิตมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็ควรเพิ่มต้นทุนของการเป็นคนเลว จะด้วยมาตรการทางจิตใจ สังคม หรือเศรษฐกิจก็แล้วแต่ (ปัญหาอยู่ที่เมื่อคนทำผิดแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนดีที่ไม่ได้ตั้งใจทำ หรือเป็นคนเลวที่จ้องแต่จะทำเรื่องแย่ๆ)

 

ภาษีดัดนิสัย

Slide6

ในทางเศรษฐศาสตร์ เราสามารถใช้เครื่องมือ เช่น มาตรการภาษี เข้ามาบิดเบือนการตัดสินใจของคน โดยที่ สิ่งใดที่ไม่ดีต่อบุคคล หรือ ต่อสังคมโดยรวม เราก็ต้องการให้มันมีน้อยลง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของมาตรการภาษีอย่างภาษีบาปที่เพิ่มราคาของสินค้าเช่น สุรา บุหรี่ ให้แพงขึ้น การมีราคาแพงขึ้นนั้น ก็ย่อมหมายความว่า เงินที่นำไปใช้ซื้อสินค้าอื่นย่อมมีน้อยลง และทำให้การเลือกดื่มสุรานั้น จะต้องแลกไปด้วยสิ่งดีๆอื่นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ก็ไม่สามารถแก้ได้อย่างสมบูรณ์เพราะตราบใดที่คนยังต้องการดื่มอยู่ การได้ดื่มเพียงจำนวนน้อยถึงแม้จะราคาแพง ก็จะให้ความสุขต่อเม็ดเงินที่สูงมากจนทำให้เขายอมเสียสละได้ นอกจากนี้ สุรายังเป็นสิ่งเสพย์ติด ทำให้คนรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเสียจากการไม่ดื่มสุรานั้นมีมากกว่าอะไรอย่างอื่นก็ตาม ทำให้ราคาที่เพิ่มขึ้นจะไม่สามารถทำให้ปริมาณการบริโภคลดลงได้ (กลับกัน ผู้บริโภคบางกลุ่มเลือกที่จะซื้อสุราราคาถูก หรือหนีกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพของผู้ดื่ม และ สังคมมากขึ้น)

 

 

เศรษฐศาสตร์คืออะไร?

เศรษฐศาสตร์ (Economics) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับสังคมและมนุษย์ที่ว่าด้วยเรื่องของการจัดการ ตลอดจนการ
พยายามเข้าใจปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นด้วยหลักของเหตุและผล ใช้ความคิดอย่างมีตรรกะ เพื่อนำไปสู่สิ่งที่
ดีขึ้นในอนาคต
 
 
ที่มาของเศรษฐศาสตร์
 
Slide1
 
หลายคนกล่าวว่าเศรษฐศาสตร์เริ่มต้นจาก Adam Smith ในช่วงอังกฤษรุ่งเรือง แต่จริงๆแล้วรากฐานของ
เศรษฐศาสตร์นั้นย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นนับพันปี โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยกรีก ซึ่งเป็นคำผสมระหว่าง oikos
(ครัวเรือน) และ nomos(กฎ) ออกมาเป็น oikonomia(การจัดการครัวเรือน)ซึ่งพูดถึงหลักการในการใช้ชีวิต
และบริหารทรัพย์สินของผู้คน

นั่นหมายความว่า จริงๆแล้ว เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่วิชาใหม่อะไร และก็ไม่ใช่ที่วิชาที่มีความซับซ้อน เพราะตั้งแต่
มนุษย์เริ่มเป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันแนวคิดแบบเศรษฐศาสตร์ ก็ถูกนำเข้ามาใช้โดยไม่รู้ตัว แต่ได้รับการทำให้
เป็นรูปเป็นร่างของ วิชาของการจัดการทรัพยากรต่างๆของมนุษย์ในยุครุ่งเรืองของอังกฤษ  
 
  
ต้องจัดการทรัพยากรชนิดใด
 
Slide2
 
ทรัพยากรในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง อะไรก็ตามที่เรามี ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่เงิน แต่กินความกว้างถึงสิ่งที่มี
อยู่ทั้งจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ เช่น เครื่องไม้เครื่องมือ ความรู้ ความชำนาญการ รวมถึงเทคนิคในการผสม
ผสานสิ่งต่างๆเข้าด้วยกัน เมื่อเทียบกับความต้องการของมนุษย์ซึ่งมีอยู่อย่างไม่จำกัด ถือว่าทรัพยากรต่างๆ
เหล่านี้มีไม่เพียงพอ หรือมีความขาดแคลนต่อทรัพยากร คำถามที่เศรษฐศาสตร์สนใจก็คือ 
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างขาดแคลนนี้ควรจะถูกใช้อย่างไรเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสูงสุด
  
Slide3
 
หลักการอย่างง่ายและมีเหตุผลสำหรับการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ก็คือ เราก็ควรใช้ทรัพยากรไปกับสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด
ซึ่งก็หมายความว่า เงินที่เราจ่ายออกไปเวลาซื้อของจะต้องจ่ายเพื่อความสุขสูงสุด สำหรับเงินทุกบาท
ทุกสตางค์ที่จ่ายออกไป
 
  
ตัวอย่าง Slide4
 
ตัวอย่างที่ง่ายและใกล้ตัวที่สุดก็คือ การจัดการกับเวลา ทุกๆคนมีทรัพยากรด้านเวลาเท่ากันในแต่ละวันคือ 
24 ชม. แต่การจะใช้ทรัพยากรนี้จะแตกต่างกันตามมูลค่าที่แต่ละคนให้กับกิจกรรมต่างๆ ดังนั้นการจัดสรร
เวลาที่มี ก็จะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่เพื่อเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างความสุขสูงสุด โดย
แบ่งเวลา สำหรับการพักผ่อน และการทำงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้แต่ละคนกินอิ่มนอนหลับมากน้อยตามต้องการ
 
Slide5
 
ตัวอย่างของการจัดสรรทรัพยากรอีกอย่างก็คือ ที่ดิน เช่น หากเรามีที่ดินจำนวนหนึ่ง เราก็ต้องเลือกว่า จะใช้ที่ดิน
ทำอะไร เพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด (ทั้งรายได้ และมูลค่า) เพื่อให้ที่ดินอันน้อยนิดของเรานี้สามารถสร้างเงินให้
เราหาซื้อทรัพยากรมาเพิ่มเติมได้ โดยหลักแล้ว ทุกๆสิ่งในโลกล้วนแต่มีเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนประชากร ความต้องการ
สินค้า การขยายกำลังการผลิต แต่สิ่งที่แทบจะไม่สามารถหาเพิ่มได้เลยก็คือที่ดิน ดังนั้น ที่ดินจึงเป็นทรัพยากรที่มี
ความขาดแคลน รวมถึงสามารถสร้างคุณค่าในตนเอง จึงเป็นที่มาว่าทำไมราคาที่ดินจึงแพงลิบ และมีแต่ผู้คนให้
ความสำคัญกับมัน
 
 
ตลาดและกลไกราคา Slide6
 
เมื่อมีทรัพยากร และมีผู้ที่ต้องการทรัพยากร ก็จะทำให้เกิดการผลิต การซื้อขายขึ้นตามอัตโนมัติ คือ เมื่อมีสิ่งใด
ที่คนอยากได้และต้นทุนในการสร้างมันขึ้นมาไม่สูงจนเกินไป ก็จะต้องมีผู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการนั้นๆ 
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายก็คือ ตลาด และเงินที่จ่ายสำหรับสินค้า 1 ชิ้น ก็คือ ราคา ราคาจะขึ้นหรือ
ลงอย่างไรนั้น ก็ขึ้นกับสิ่งที่เรียกว่า กลไกตลาด เมื่อมีความต้องการมากๆ หรือมีคนขายในปริมาณน้อย ก็ย่อม
ทำให้มีราคาสูง และเมื่อใดที่มีความต้องการน้อย หรือมีคนขายกันเต็มไปหมด ก็ย่อมทำให้ราคาลดลง และนี่เป็น
สัจธรรมของโลก
 
 
เศรษฐกิจภาพรวม 
 
Slide7
 
เมื่อเราถอยหลังออกมามองให้ไกลขึ้น เราก็จะเห็นว่าในโลกของเรามีการแลกเปลี่ยนซื้อขายเกิดขึ้นตลอดเวลา
และมีปริมาณมาก เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ เราก็สามารถจัดหมวดหมู่และรวมเอาสิ่งที่แต่ละคนทำให้ออกมาเป็นสิ่ง
ที่กินความกว้างขึ้น ซึ่งเราก็อาจแบ่งได้อย่างง่ายๆ ออกเป็น 3 ด้าน คือ 

1.ด้านการซื้อขายสินค้า (การซื้อ-ขาย สินค้าและบริการทุกชนิด) 
2.ด้านการใช้ทรัพยากรการผลิต (การว่าจ้างแรงงาน,การประกอบการ,การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ-เครื่องจักร) และ 
3.ด้านการเงิน (การกู้-ยืมเงิน, การลงทุนรูปแบบต่างๆ, การซื้อ-ขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน) 

โดยทั้ง 3 ด้านนี้ ล้วนเกิดขึ้นโดยการกระทำระหว่างคน 2 กลุ่ม คือ หน่วยครัวเรือน และ หน่วยการผลิต การจับตา
ดูในภาพรวมนี้เองที่ทำให้เราทราบว่า เศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่งมีการขยายตัว หรือหดตัว สามารถ
กำหนดทิศทางในการดำเนินการเพื่อยกระดับให้มาตรฐานการครองชีพของคนดีขึ้น